สำหรับพระสูตรนั้น คำสอนในพระสูตรมีทั้งที่เป็นเรื่องราวที่อ่านง่าย ฟัง่าย เข้าใจง่าย เช่นในอังคุลีมาลสูตร เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปโปรดองคุลิมาลโจร เป็นต้น โดยส่วนตัวข้าพเจ้า นั้นเห็นว่า ฆราวาสที่สนใจศึกษาพระสูตรมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นพะภิกษุสงฆ์ที่ค้นคว้่าเรื่องราวในพระสูตรที่ไม่ยากนัก เพื่อนำมาประกอบการแสดงพระธรรมเทศนา ทำให้การแสดงธรรมนั้นน่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ แม้แต่เด็กๆ ก็สามารถเข้าใจและจดจำเรื่องราวในพระสูตรและสามารถเปรียบเทียบเรื่องราวนำมาอุปมาอุปมัยกับชีวิตจริงได้ พระสูตรจึงเป็นคำสอนที่เป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างศรัทธา เพื่อโน้มน้าวความสนใจผู้ที่ยังไม่มีพื้นฐานในการศึกษาพระธรรมให้มีความสนใจในพระธรรมเป็นเบื้องต้น
นอกจากนี้ พระสูตรยังประกอบด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลักธรรม หรือแนวทางสำหรับการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา เช่น วิปัสสีสูตร ซึ่งเกี่ยวกับเหตุปัจจัย และอวิชชาสูตร ซึ่งเกี่ยวกับอาหารของ อวิชชา วิชชา และวิมุตติ เป็นต้น
ความแตกต่างกันระหว่างพระสุตรกับอภิธรรมนั้น คือพระสูตรใช้ถ้อยคำร้อยเรียงเป็นเรื่องราวมีการยกตัวอย่างเป็นสัตว์ บุคคล สถานที่ ส่วนพระอภิธรรมนั้นเป็นการกล่าวโดยใช้ปรมัตถสัจจะในการอธิบาย แต่เนื้อหาของพระธรรมในทั้งสองหมวดเป็นไปในทำนองเดียวกัน ต่างกันเพียงวิธีการสาธยาย
หากท่านมีความสนใจศึกษาพระสูตรจากการฟัง ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านฟังการบรรยายพระสูตรจากอาจารย์ที่เป็นเลิศทางการบรรยายพระสูตรท่านหนึ่ง คือพระอาจารย์สมบัติ นนฺทิโก ซึ่งท่านสามารถติดต่อสอบถามขอซีดีพระธรรมเทศนาได้ที่มูลนิธิรักษ์ธรรมที่หมายเลขโทรศัพท์ ๐๒-๗๑๑-๕๙๙๗-๘
สุดท้ายคือพระอภิธรรม พอเอ่ยถึงพระอภิธรรม บางท่านก็ร้องว่า ยาก เป็นธรรมที่ยาก เป็นเรื่องที่มากเกิน ไม่จำเป็นที่จะศึกษา ความเป็นจริงก็คือ ข้าพเจ้าไม่เถียงว่าพระอภิธรรมไม่ยาก เนื่องจากพระอภิธรรมปิฎก เป็นพระพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแต่ปรมัตถธรรม เป็นสภาวธรรมล้วนๆ ไม่มีสมมติบัญญัติเจือปนเลย ดังนั้นจึงเป็นธรรมที่พึงรู้ได้โดยยาก ผู้ที่จะศึกษาเล่าเรียนพระอภิธรรมให้มีความฉลาดรอบรู้ได้เป็นอย่างดีนั้น จึงต้องเป็นบุคคลที่เป็นติเหตุกะปฏิสนธิเท่านั้น คือบุคคลที่เกิดมาด้วยเหตุ ๓ ได้แก่ อโลภะ อโทสะ และอโมหะ ส่วนบุคคลที่เป็นทุเหตุกะปฏิสนธินั้น ไม่สามารถจะศึกษาเล่าเรียนให้มีความฉลาดรอบรู้ได้ และหากถามว่าจำเป็นต้องศึกษาไหม ข้าพเจ้าขอตอบด้วยหัวใจว่า จำเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าการเรียนวิชาใดๆ ในโลกนี้ แต่หากถามว่า การศึกษาพระอภิธรรมแค่ไหนที่จะเรียกว่าไม่มากเกินไปนั้น คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ท่านสร้างมา และเป็นเรื่องความพอใจของแต่ละท่านซึ่งยากที่จะนำมาเปรียบเทียบกัน ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจำแนกบุคคลออกเป็น ๖ ประเภท คือ
- ผู้ที่ไม่สนใจศึกษาพระอภิธรรมเลย ด้วยไม่เคยทราบ ไม่เเคยแม้จะได้ยินชื่อนี้มาก่อน หรือเคยได้ยิน แต่ไม่ทราบว่าคืออะไร ประเภทหนึ่ง
- ผู้ทีทราบว่าพระอภิธรรมคืออะไร แต่สำคัญผิดเห็นว่าเป็นเพียงคำสอนที่เกจิอาจารย์รจนาขึ้นเพื่อสั่งสอนศิษย์ในภายหลังเท่านั้น ไม่ใช่พุทธพจนะ จึงไม่ศึกษาเล่าเรียน อีกประเภทหนึ่ง
- และอีกประเภทหนึ่ง ผู้ที่ไม่สนใจศึกษา เพราะมีความเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องศึกษา ไม่เห็นประโยชน์ บุคคลประเภทที่สามนี้ นอกจากตนเองไม่ศึกษาแล้วยังมักจะไม่สนับสนุน หรือไม่เห็นด้วยกับผู้ที่ศึกษา
- ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือผู้ที่มีความสนใจที่จะศึกษาแต่คิดว่ายาก กลัวว่าจะต้องท่องจำ คิดว่าตนคงไม่สามารถศึกษาพระอภิธรรมได้
- หรืออีกประเภทหนึ่ง คือผู้ที่มีความสนใจเพราะคิว่าเป็นธรรมที่ควรศึกษา แต่ไม่มีเวลา หรือสนใจพอประมาณ ศึกษาบ้าง แต่มิได้ขวนขวาย หรือแสวงหาครูอาจารย์
- อีกประเภทหนึ่ง คือผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมเพื่อเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติกรรมฐาน
- ประเภทสุดท้าย คือบุคคลที่ทุ่มเทกาย ใจให้กับการศึกษาพระอภิธรรมเป็นอย่างมาก แสวงหาครูอาจารย์ และสถานที่เรียน ทั้งท่อง ทั้งจำ ทั้งยังเผยแผ่แก่ผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็มีมาก ข้าพเจ้าได้แต่อนุโมทนาเมื่อได้ยินว่าท่านเหล่านี้ (เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนพระอภิธรรมของข้าพเจ้าเอง) เช้าวันเสาร์ไปเรียนที่วัดเพลงวิปัสสนาฯ บ่ายไปเรียนที่วัดสามพระยา เย็นไปติวที่วัดมหาธาตุฯ รุ่งขึ้นวันอาทิตย์เช้าไปเรียนที่วัดสังเวชฯ แล้วตอนบ่ายกับตอนเย็น ก็ไปเรียนที่อื่นๆ อีก เป็นต้น เรียกว่าเรียนได้วันละ ๓ เวลา
โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้่าคิดว่า เหตุที่สำคุญที่สุดที่ทำให้พุทธศาสนิกชนไม่สนใจศึกษาพระอภิธรรมก็เพราะว่าไม่ทราบว่าพระอภิธรรมเป็นการศึกษาเรื่องอะไร เกี่ยวข้องกับชีวิตที่เป็นอยู่อย่างไร เมื่อไม่เข้าใจว่าพระอภิธรรมเกี่ยวข้องกับชีวิตอย่างไร คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ก็ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระอภิธรรม จึงไม่ศึกษา
ดังนั้นข้าพเจ้าจะกล่าวถึงการศึกษาพระอภิธรรม และประโยชน์ และข้อคิดในการศึกษาพระอภิธรรมโดยย่อ หากท่านอ่านมาถึงบันทัดนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสนใจในการศึกษาพระธรรมพอสมควร ท่านคิดหรือไม่่ว่าท่านจัดอยู่ในประเภทใดข้างต้น ถ้าท่านอยู่ในประเภทที่ ๑ - ๔ ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อท่านอ่านบทความนี้จบลงแล้ว ท่านจะเปลี่ยนทัศนคติมาเป็นอย่างน้อยก็ประเภทที่ ๕
Comments
สาธุๆๆๆ อนุโมทามิ
อนุโมทนา สาธุค่ะ
จะเข้ามาอ่านประจำ เพราะมีเรื่องที่ต้องศึกษาอีกมาก
สาธุ
RSS feed for comments to this post