× เรื่องเกี่ยวกับหลักธรรม คำสอนในทางพระพุทธศาสนา

หนึ่งขณะจิต

07 Jun 2011 05:16 - 08 Jun 2011 03:36 #81 by yushin

ทีบัญญัติว่าเป็นสัตว์บุคคล เป็นสิ่งมีชีวิต เพราะอะไรเพระามีจิต เจตสิก รูป

ดังนั้นชีวิตก็คือเพราะมีจิต - เจตสิกเกิดขึ้นแต่โดยทั่วไปแล้ว เราย่อมสำคัญว่าชีวิตของ

เราของใครก็ตามก็มีอายุ 60 ปี 50 ปี 20 ปี หรือน้อยกว่านั้นก็ตามแต่ในความเป็น

จริงแล้วที่เรามีอายุเป็นเดือน เป็นปีก็เพราะความเกิดขึ้นและดับไปของจิตที่เกิดับสืบ

ต่อกันไปนั่นเองและที่สำคัญก็สำคัญว่าชีวิตจะสิ้นสุดก็คือเมื่อตายจากโลกนี้ไป

แต่นั่นเป็นความตายโดยสมมติเพราะเป็นเพียงจุติที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นแต่ใน

ความเป็นจริงเมื่อมีแ่ต่จิต เจตสิกจึงบัญญัติว่ามีชีวิตเพราะฉะนั้นชีวิตก็คือ{จิต}และ

เจตสิกทีเ่กิดขึ้น แต่อายุของจิตนั้นสั้นมาก เมื่อเกิดขึ้นและดับไปการดับไปนั้นก็เป็น

การสิ้นสุดชีวิต สิ้นสุดในขณะที่จิตดับไปนั่นเองเป็นการตายโดยปรมัตที่เป็นสัจจะครับ

ดังนั้นชีวิตจึงดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิต เล็กน้อยมาก เพียงจิตเกิดขึ้นและดับไปซึ่งจิตมี

หลายประเภท ทั้งทีเ่ป็นกุศล อกุศล วิบาก เป็นต้นดังนั้นขณะที่เห็นจิตเห็นเกิดขึ้น

ชีวิตเกิดขึ้นและดับไปก็ดำรงอยู่ชั่วขณะนั้นเองและจิตอื่นก็เกิดต่อก็ดำรงอยู่ชั่วขณะ

อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อันแสดงให้เห็นว่าชีวิตเป็นของน้อยดำรงอยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้น
ชีวิตเราดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว เเละขณะจิตเดียวนี้จะให้เป็นกุศลหรืออกุศล

ชีวิตก็คือขณะจิตที่เกิดขึ้นและดับไปแน่นอนว่าสิ่งที่คือ กุศลจิต ควรที่จะเป็น

กุศลไม่ควรเป็นอกุศลเลยแต่ธรรมเป็นอนัตตาและเป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่อยู่ใน

อำนาจบังคับบัญชา รู้ว่าควร รู้ว่ากุศลเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อสะสมปัญญามาน้อยสะสม

กุศลธรรมาน้อยกว่ากิเลสที่สะสมมาก็ย่อมทำให้จิตที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลจิต มากกว่า

กุศลจิตที่สำคัญคือการอบรมเหตุ คือการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเพื่อความ

เจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญาเพราะเมื่อปัญญาเจริญขึ้นกุศลจิตและกุศลธรรม

ประการต่างๆก็เจริญขึ้นตามปัญญาที่เจริญขึ้นอันเป็นหน้าที่ของรรมทีทำหน้าที่ไม่มี

เราไปจัดการไปบังคับให้เกิดกุศลหรืออกุศลเป็นไปตามปัจจัยและตามกำลัง

ปัญญาที่สะสมคำว่า{ควร}จึงไม่ใช่เราที่จะทำแต่เป็นหน้าที่ของธรรม

การเข้าใจเช่นนี้ย่อมเข้าใจหนทางในการอบรมปัญญาที่ถูกต้องเพื่อละควาเมห็น

ผิดว่าเป็นสัตว์บุคคลว่าไม่ใช่การบังคับไม่ให้อกุศลไม่เกิดแต่ควรรู้ในสิ่งที่เกิดแล้ว

แม้อกุศลเป็นสภาพธรรมที่มีจริงเป็นธรรมไม่เใช่เรา

ชีวิตคือจิตที่ดำัรงอยู่เพียงชั่วขณะอย่างนี้แล้วผู้มีปัญญาควรพิจารณาว่าประโยชน์

สูงสุดในการมีชีวิตอยู่คือการฟังพะรธรรม ศึกษาพระธรรมเพราะไม่มีใครรู้เลยว่าชาติ

หน้าจะได้พบพะรธรรมหรือได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไม่แต่ชาตินี้ได้พบพระธรรมแล้วได้

เกิดเป็นมนุษย์แล้วดังนั้นขณะท่านทั้งหลายอย่าล่วงเลยไปอย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนใน

ภายหลังคือขณะที่ประเสริฐคือขณะที่ฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม 5 ภาค 1 หน้าที่ 212 - 215
{๔๙}คำว่า นักปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวชีวิตนี้ว่าเป็นของน้อยมีความว่าชีวิต

ได้แก่อายุความตั้งอยู่ความดำเนินไปความให้อัตภาพดำเนินไปความหมุนไป

ความเลี้ยงความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์ก็ชีวิตน้อยโดยเหตุ ๒ ประการ คือ ชีวิตน้อยเพราะ.......................

ตั้งอยู่น้อย ๑

ชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อย ๑

ชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อยเป็นอย่างไร ? ชีวิตเป็นอยู่แล้วในขณะจิตเป็นอดีต

ย่อมไม่เป็นอยู่จักไม่เป็นอยู่ชีวิตจักเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นอนาคตย่อมไม่เป็นอยู่

ไม่เป็นอยู่แล้วชีวิตย่อมเป็นอยู่ในขณะจิตเป็นปัจจุบันไม่เป็นอยู่แล้วจักไม่เป็นอยู่

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า....................................

ชีวิตอัตภาพสุขและทุกข์ทั้งมวลเป็นธรรมประกอบกันเสมอด้วยจิตดวงเดียว

ขณะย่อมเป็นไปพลันเทวดาเหล่าใดย่อมตั้งอยู่ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัปล์เทวดาเหล่า

นั้นย่อมไม่เป็นผู้ประกอบด้วยจิต ๒ ดวงเป็นอยู่เลยขันธ์เหล่าใดของสัตว์ผู้ตายหรือ

ของสัตว์ที่เป็นอยู่ในโลกนี้ดับแล้วขันธ์เหล่านั้นทั้งปวงเที่ยวเป็นเช่นเดียวกันดับไป

แล้วมิได้สืบเนื่องกันขันธ์เหล่าใดแตกไปแล้วในอดีตเป็นลำดับและขันธ์เหล่าใด

แตกไปแล้วในอนาคตเป็นลำดับความแปลกกันแห่งขันธ์ทั้งหลายที่ดับไปในปัจจุบัน

กับด้วยขันธ์เหล่านั้นย่อมมิได้มีในลักษณะสัตว์ไม่เกิดแล้วด้วยอนาคตขันธ์ ย่อมเป็นอยู่

ด้วยปัจจุบันขันธ์สัตว์โลกตายแล้วเพราะความแตกแห่งจิตนี้เป็นบัญญัติทางปรมัตถ์

ขันธ์ทั้งหลายแปรไปโดยฉันทะย่อมเป็นไปดุจน้ำไหลไปตามที่ลุ่มฉะนั้นย่อมเป็นไป

ตามวาระอันไม่ขาดสายเพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัยขันธ์ทั้งหลายแตกแล้วมิได้ถึง

ความตั้งอยู่กองขันธ์มิได้มีในอนาคตขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแล้วย่อมตั้งอยู่เหมือนเมล็ด

พันธุ์ผักกาดทั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลมฉะนั้นก็ความแตกแห่งธรรมขันธ์ทั้งหลายที่เกิด

แล้วนั้นสกัดอยู่ข้างหน้าแห่งสัตว์เหล่านั้นขันธ์ทั้งหลายมีความทำลายเป็นปกติมิได้

รวมขันธ์ที่เกิดก่อนย่อมตั้งอยู่ขันธ์ทั้งหลายมาโดยไม่ปรากฏแตกแล้วก็ไปสู่ที่ไม่

ปรากฏย่อมเกิดขึ้นและเสื่อมไปชีวิตน้อยเพราะมีกิจน้อยอย่างไร ?

ชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าชีวิตเนื่องด้วย

ลมหายใจออกชีวิตเนื่องด้วยลมหายใจเข้าและลมหายใจออกชีวิตเนื่องด้วย

มหาภูตรูปชีวิตเนื่องด้วยไออุ่นชีวิตที่เนื่องด้วยอาหารที่กลืนกินชีวิตเนื่องด้วย

วิญญาณ{รัชกาย}อันเป็นที่ตั้งแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านี้ก็ดีอวิชชา

สังขารตัณหาอุปาทานและภพอันเป็นเหตุเดิมแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออก

เหล่านี้ก็ดีปัจจัยทั้งหลายก็ดีตัณหาอันเป็นแดนเกิดก่อนก็ดีรูปธรรมและอรูปธรรมที่

เกิดร่วมกันแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านี้ก็ดีอรูปธรรมที่ประกอบกันแห่ง

ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านั้นก็ดีขันธ์ที่เกิดร่วมกันแห่งลมหายใจเข้าและ

ลมหายใจออกเหล่านี้ก็ดีตัณหาอันประกอบกันก็ดีก็มีกำลังทรามธรรมเหล่านั้นมีกำลัง

ทรามเป็นนิตย์ต่อกันและกันมิได้ตั้งมั่นต่อกันและกันย่อมยังกันและกันให้ตกไปเพราะ

ความต้านทานมิได้มีแก่กันและกันธรรมเหล่านั้นจึงไม่ดำรงกันและกันไว้ได้ธรรมแม้ใด

ให้ธรรมเหล่านี้เกิดแล้วธรรมนั้นมิได้มีก็แต่ธรรมอย่างหนึ่งมิได้เสื่อมไปเพราะธรรม

อย่างหนึ่งก็ขันธ์เหล่านี้แตกไปเสื่อมไปโดยอาการทั้งปวงขันธ์เหล่านี้อันเหตุปัจจัยมี

ในก่อนให้เกิดแล้วแม้เหตุปัจจัยอันเกิดก่อนเหล่าใดเหตุปัจจัยเหล่านั้นก็ตายไปแล้ว

ในก่อนขันธ์ที่เกิดก่อนก็ดีขันธ์ที่เกิดภายหลังก็ดีมิได้เห็นกันและกันในกาลไหน ๆ

ฉะนั้น....................ชีวิตจึงชื่อว่าเป็นของน้อยเพราะมีกิจน้อยอย่างนี้

เหมือนสายฟ้าแลบในอากาศฉะนั้นชีวิตน้อยเพราะตั้งอยู่น้อยอย่างนี้

ข้อมูลนี้มาจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาบ้านธัมมะ 136 หมู่ 5 ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 50230

Please Log in or Create an account to join the conversation.

Time to create page: 0.364 seconds
Users
3964
Articles
271
Articles View Hits
3522265