พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนว่า.....
ขันธ์ ๕ เป็ตัวทุกข์ (ทุกขอริยสัจ)
เป็นธรรมที่ควรรู้ (ต้องกำหนดรู้)
อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง ๕ เป็นสมุหทัย
คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
เป็นธรรมที่ควรละ
เจริญวิปัสสนากรรมฐานเพื่อประหาณกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน
โดยการกำหนดรู้ธรรมที่ควรรู้ (ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ เป็นต้น)
ตามความเป็นจริง (ตามสภาวะ หรืออีกนัยหนึ่งคือปรมัตถธรรม หรือรูป นาม)
โดยไม่ปรุงแต่ง (ด้วยการคิดนึก หรือปรุงแต่งด้วยเจตสิก)
เป็นปัจจุบัน (สภาพจิตที่ "รู้" โดยไม่ปรุงแต่ง ไม่คิดนึก จึงเท่าทันต่อสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเป็นปัจจุบัน)
ด้วยความปล่อยวาง (สภาพรู้ หรือผู้รู้ หรือจิตรู้ ที่ประกอบด้วยอุเบกขาเจตสิก)
จนเกิดปัญญา (ภาวนามยปัญญา)
ละกิเลสได้ชั่วคราว (ตทังคปหาน)
หรือดับกิเลสถาวร (สมุทเฉทปหาน ด้วยปัญญาในองค์มรรค)
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของครูอาจารย์ที่ให้ "จัดการดับเหตุ แล้วผลจะดับ ด้วยการเจริญองค์มรรค ๘ นั้น
ในทางปฏิบัติ จึง "ไม่ได้หมายความว่าให้ ไปตั้งหน้าตั้งตาจัดการดับเหตุ จริงๆ"
แต่ "ให้กำหนดรู้ทุกข์" แล้ว "เหตุแห่งทุกข์จะถูกละ หรือดับไปได้เอง" ด้วยปัญญาในองค์มรรคเมื่อถึงพร้อมด้วยปัจจัย
เพราะ "การดับ หรือการละ เหตุแห่งทุกข์คือ ตัณหา-อุปาทาน" นั้น
เป็น "ผล" ของการกำหนดรู้ทุกข์ดังที่ได้กล่าวไว้โดยย่อข้างต้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อกำหนดรู้ได้ตรงสภาวะจนเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์
"ผล" คือการละ ตัณหา-อุปาทาน (เหตุแห่งทุกข์) จะเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องไปจัดการอะไร
หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือ...เพียง กำหนดรู้ทุกข์
ดังคำสอนของพระพูทธองค์ที่ทรงกล่าวไว้ว่า
ทุกขัง อริยสัจจัง (ความทุกข์เป็นสัจจะ เป็นความจริงอันประเสริฐ)
จึงต้องทำความรู้จักความจริงอันประเสริฐนี้จนใจรู้แจ้ง
การปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช้ไปจัดการกับเหตุแห่งทุกข์ (ตัณหา-อุปาทาน)
เพราะเหตุแห่งทุกข์จะดับได้ ก็ด้วยเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม
และเหตุปัจจัยที่จะทำให้เหตุแห่งทุกข์ (ตัณหา-อุปาทาน) ดับ
ก็คือ การกำหนดรู้ทุกข์ให้ตรงสภาวะ
แต่หากพยายามไปจัดการให้ ตัณหา-อุปาทาน อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ดับเสียแล้ว
ก็เป็นธรรมตัณหา เป็นการเจริญตัณหา เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาทันที
ดังที่หลววพ่อเอี้ยน สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต พัทลุง ได้กล่าวไว้ว่า
"ไม่ใช่พยายามจะปล่อยอุปาทานในขันธ์ แต่เมื่อปล่อยความเห็นผิดที่จิตไปยึดถือจิต อุปาทานในขันธ์ก็หลุดออกทั้งหมด ยิ่งพยายามปล่อยขันธ์ เมื่อนั้นก็มีตัวตนอยู่นั่นเอง"
หมายเหตุ: คำว่า "เหตุ" และ "ผล"
"เหตุดับ" และ "ผลดับ" ในที่นี้ หมายความตามนัย เหตุและผลในอริยสัจจธรรม
วิรังรอง
๓ มิย. ๕๕