สัมมัปปธาน ๔ กับการพัฒนาตนเอง และสังคมเชิงพุทธ

สัมมัปปธาน ๔ กับการพัฒนาตนเอง และสังคมเชิงพุทธ โดย อนาลยา

 

ได้รับแรงบันดาลใจให้เขียนบทความนี้ หลังจากได้อ่าน บทความที่แชร์กันใน line อย่างกว้างขวางสองวันนี้ ของคุณ สุทธิชัย หยุ่น และบทสัมภาษณ์คุณ อานันท์ ปันยารชุน...เรื่อง "เมื่อสังคมไทยมีคนเก่ง แต่ขาดคนดี"  ที่ยกมาประกอบด้านล่างในตอนท้ายบทความที่เขียนนี้ค่ะ

 

สังคมใด....มีคนเก่ง  แต่ขาดคนดี  ฉ้อฉล ทุจริต คอรับชั่นด้วยการโกหกหลอกลวง ใช้กลโกงบูรณาการกันอย่างพร้อมเพรียง  สังคมนั้น "กำลังเดิน" ไปสู่ความหายนะ... 

 

ส่วนสังคมใด แม้คนเก่งก็ไม่มี คนดีก็ไม่มี มีแต่การฉ้อฉล ทุจริต คอรับชั่นด้วยการโกหกหลอกลวง ใช้กลโกงบูรณาการกันอย่างพร้อมเพรียง  สังคมนั้น "กำลังอยู่" ในความหายนะ.....

 

จึงโชคดีที่คนไทยยังมีคนเก่งอยู่  แต่ถ้าคนเก่งเหล่านั้นเป็นคนดีด้วย....และมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดสวนกระแสน้ำ และกิเลสที่มีแต่ไหลลงสู่ที่ต่ำ  เพื่อต่อสู่กับความถูกต้องอันเป็นตรรกะของผู้มีปัญญาที่สามารถแยกแยะระหว่างความถูกต้องและความผิดได้.....ไม่เอาตนเองไปเกลือกกลั้วกับความสกปรกเน่าเหม็น....ก็จะเป็นแสงเทียนที่ส่องให้เห็นทางเดินที่พอจะรักษาสังคมไว้ได้......

 

พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่อง สัมมัปปธาน ๔ คือ การมุ่งมั่นทำความเพียรชอบ มี 4 ประการ อันเป็นหลักธรรมที่นำไปสู่ความเจริญโดยถ่ายเดียว มินำไปสู่ความหายนะเลย.....ดังนี้: 

 

 

๑. สังวรปทาน คือ เพียร ระวังอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น ( เพียรระวัง )

๒. ปหานปทาน คือ เพียร ละ เลิก อกุศลที่กำลังกระทำอยู่ มิให้เกิดขึ้นอีก ( เพียรละ )
๓. อนุรักขปทาน คือ เพียร รักษา กุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ ( เพียรรักษา )
๔. ภาวนาปทาน คือ เพียร กระทำให้กุศลธรรมที่มีอยู่แล้ว หรืิอเกิดขึ้นแล้วนั้น ให้เจริญยิ่งขึ้นไป ( เพียรเจริญ )

ทั้ง ๔ ข้อนี้มิได้หมายรวมเฉพาะการสำรวมระวัง และการกระทำเพื่อให้เจริญขึ้นเฉพาะทางกาย แต่หมายรวมถึง ทางวาจา และใจ ด้วย

 

พึงพัฒนาตนเองขึ้นมา ด้วยหลักสัมมัปปธาน ๔ นี้ ให้เป็นแสงเทียนเล่มน้อย....ที่เมื่อรวมกันแล้วก็จะสว่างไสว....นอกจากสามารถนำพาตนเองให้รอดพ้นปลอดภัยแล้ว ยังสามารถส่องสว่างเพื่อเกี้อกูลผู้อื่น และนำพาเขาเหล่านั้นให้ออกาจากความมืดมิดได้.....

 

พระธรรมคำสอนมีอยู่แล้วและประเสริฐสุด และเป็นทั้งคำตอบที่ชี้ให้เห็นถึงเหตุปัจจัยอันได้แก่ อกุศล-กุศลมูลของปัญหาทั้งหลาย ..และเป็นทั้งมรรคา คือแนวทางการปฏิบัติเพื่อ แก้ปัญหานั้นๆ เพียงทำความเข้าใจ และน้อมนำมาปฏิบัติ

 

วิรังรอง ทัพพะรังสี

พฤหัสที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๖

 

บทความด้านล่างนี้เขียนโดยคุณ  สุทธิชัย หยุ่น

"เมื่อสังคมไทยมีคนเก่ง แต่ขาดคนดี " 

 

      "ผมอ่านแล้ว ก็ต้องส่งสารต่อให้ท่านผู้อ่าน ได้ช่วยกันคิดช่วยกันอ่าน เพราะว่าลำพังเราเอง เพียงแค่แสดงความกังวลห่วงใยในบ้านเมืองเฉยๆ ไม่น่าจะพอ แต่จะต้องรวมพลังในรูปแบบต่างๆ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาบ้านเมืองกันอย่างแข็งขันอีกด้วย"

        คุณอานันท์ บอกว่า “ปีนี้ผมมีอายุครบ 80 ปี และเป็นปีแรกที่ต้องขอสารภาพด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ และไม่มีอคติ ว่า ปีนี้ผมมีความห่วงใยเรื่องคอร์รัปชันในเมืองไทยมากที่สุด ตั้งแต่เกิดมา”

        คุณอานันท์ บอกว่า ในอดีตคอร์รัปชันเป็นเรื่องการให้ค่าน้ำชา ค่าสินบน การให้ของชำร่วย ช่วยเหลือในด้านต่างๆ ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือกลุ่มกับกลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุบัน "ความฉ้อฉล" และ "กลโกง" มีความลึกลับสลับซับซ้อนมากขึ้นมาก ไม่ใช่แค่ค่าน้ำชา สินบน แต่มีการวางยุทธศาสตร์ มีการวางแผนการอย่างแยบยล และที่สำคัญที่สุด คือ มีการบูรณาการกันอย่างพร้อมเพรียง ไม่ใช่เรื่องของคนต่อคน หรือกลุ่มต่อกลุ่มอีกต่อไป ขณะนี้เป็นเครือข่ายกันหมด ครอบคลุมถึงนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ สื่อ องค์กรต่างๆ ทั้ง รัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่องค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญสร้างขึ้น 

 

        อดีต นายกฯ อานันท์ บอกว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็จะนำไปสู่การยึดครองพื้นที่ของประเทศทั้งหมด ทุกพื้นที่ ทุกกิจกรรม ทุกส่วน

ท่านบอกว่า สมัยนี้จึงไม่ใช่เรื่องการ "โกงกิน" "ทุจริต" "ฉ้อราษฎร์บังหลวง" แต่เป็นการ ‘กินเมือง’ อะไรขวางซื้อหมด อำนาจเงินกลายเป็นอำนาจสูงสุด คนไม่มีค่า

 

        คุณอานันท์ บอกด้วยว่า “นโยบายปัจจุบัน จะนำความหายนะมาสู่ประเทศ” และท่านก็มีความเศร้า ที่คนดีๆ ที่มีความรู้ ก็ตกหลุม ติดกับอยู่กับนโยบายเหล่านี้ไปด้วย

 

        คุณอานันท์ ย้ำว่า คอร์รัปชันมีความหมายมากกว่าทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงและคอร์รัปชันไม่ใช่ความหมายเฉพาะเรื่องเงิน แต่การโกหกประชาชน ก็เป็นหนึ่งของการคอร์รัปชันตราบใดที่เรายังเห็นคนที่มีอำนาจ มีความรับผิดชอบออกมาหลอกประชาชนทุกวัน วันละ 3 มื้อ อย่าหวังว่าจะแก้ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทยได้ 

          อดีตนายกฯ อานันท์ บอกว่า การที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวในประเทศไทยได้นั้น จะต้องทำให้คนไทยรู้สึกว่าเงินที่โกงกินเป็นเงินของเรา เรามีส่วนเป็นเจ้าของ อีกทั้งกลุ่มที่ทำงานเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชัน ต้องบูรณาการในการกระทำของคนทุกกลุ่มร่วมกัน จึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

         ผมเชื่อว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยก็เข้าใจตรงกับคุณอานันท์ แต่ยังขาดการระดมพลังคนรอบข้างต่อต้านคนโกงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และบ่อยครั้งยังเห็นว่าเป็นเรื่องที่เพียงแต่ตัวเองก็ทำอะไรมากไม่ได้ จึงกลายเป็น   “เสียงเงียบงันของคนส่วนใหญ่” หรือ Silent Majority ซึ่งเป็นทัศนคติที่เป็นอันตราย เพราะว่าทำให้คนไทยเห็นการคอร์รัปชันเป็นเรื่องที่ “จำเป็นต้องทนกับมัน” เพราะว่าไม่มีใครปราบมันให้สิ้นแผ่นดินไทยไปได้

เราอาจจะ “เสียกรุง” ครั้งใหม่...ก็เพราะคิดแบบนี้นี่แหละ /

 

      ขอบคุณ  คุณสุทธิชัย หยุ่น  ที่นำข้อความข้างต้นนี้มาส่ือสารเผยแพร่  และขอบคุณ อดีตนายก ฯ อานันท์ ฯ ผู้เป็นเจ้าของความคิดอันมีคุณอเนกอนันต์ต่อชาติบ้านเมือง และเป็นการเตือนสติว่ามหันตภัยอันเลวร้ายกำลังครอบงำประเทศของเรา  ถึงเวลาที่ต้องช่วยกันคนละไม้ละมืออย่างเป็นรูปธรรมเพื่อ "รักษากรุง"     

 

https://www.facebook.com/notes/วิรังรอง-ทัพพะรังสี-wirangrong-dabbaransi/สัมมัปปธาน-๔-กับการพัฒนาตนเอง-และพัฒนาสังคมเชิงพุทธ/532402133511664

Add comment


Security code
Refresh

Users
3943
Articles
271
Articles View Hits
3512888